กรุสำหรับ กุมภาพันธ์, 2012

3000 โบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

หากต้องเดินทางไกลไปสัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ อย่าง “แกรนด์แคนยอน” ดินแดนแห่งหินผาและหุบเหว ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลแตกต่างกันไปตั้งแต่ 381-2,793 เมตร มีความกว้างตั้งแต่ 2-24 กิโลเมตร และลึกประมาณ 1,600 เมตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนไปพิสูจน์ความงามนับเป็นแสน ๆ คนต่อปี… อาจจะดูไกลไปนิด… วันนี้เราขอแนะนำให้รู้จักกับ “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” สถานที่ท่องเที่ยวแสนใกล้ ที่ขอรับรองว่าโดนใจคนไทยแน่นอน นั่นก็คือ… “สามพันโบก” แก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ที่มีความสวยงามมากๆ

   “สามพันโบก” ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือนมกราคม – เมษายน) ทั้งนี้ ที่เรียกว่า “สามพันโบก” เพราะบนแก่งหินมีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง (คำว่า “โบก” เป็นภาษาลาว แปลว่า “แอ่ง”) จึงเรียกที่นี่ว่า สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

นอกจากนี้ ลักษณะของแก่งหินยังมีขนาดใหญ่มากคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง ความสวยงามวิจิตรของหินที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนเว้าแหว่ง มองเห็นเป็นภาพศิลปะ มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ใหญ่บ้างเล็กบ้าง บ้างเป็นรูปวงรี รูปดาว รูปวงกลม และรูปอื่นๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เราจะจินตนาการ เพราะมีมากกว่า 3,000 แอ่ง ที่นี่จึงได้ฉายาว่า “แกรนแคนย่อนเมืองไทย” …ถ้าอยากรู้ว่าสวยงามแค่ไหน ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองค่ะ

อย่างไรก็ตาม การเดินทางท่องเที่ยวทางเรือไปยังแก่งสามพันโบก นิยมนั่งเรือจากหาดสลึง ที่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร ล่องตามลำน้ำโขงระยะทาง 4 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่าน “ปากบ้อง” จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งมีความกว้างเพียง 56 เมตร และ “หินหัวพะเนียง” เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย หรือสองคอน ในภาษาท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อ “บ้านสองคอน”

สามพันโบก

สามพันโบก

และในบริเวณใกล้เคียงกันนั้น ยังมี “ถ้ำ” ที่มีความสวยงามมาก คือ ถ้ำนางเข็นฝ้าย, ถ้ำนางต่ำหูก, หาดหงษ์, หาดหินสี, หลักศิลาเลข, แก่งสองคอน, ภูเขาหิน และหาดแห่ โดยมีที่พักให้นักท่องเที่ยวได้พักอย่างสะดวกสบายริมหาดสลึง พร้อมร้านอาหารไทยและอีสานมากมาย

ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร โทร.0-4533-8057, 0-4533-8015   

 อ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/35370

นรกมล ไม้รอด  post

เกาะสีชัง 

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสารคู่หูเดินทาง

           หลัง จากที่เราได้ไปเที่ยวเกาะทะลุ ทางชายฝั่งด้านภาคตกของประเทศไทยกันมาแล้ว คราวนี้กระปุกดอทคอมก็ขอพาไปเที่ยวเกาะสงบ ๆ อีกแห่ง ทางฝั่งตะวันออกของประเทศไทยกันบ้าง แถมใกล้นิดเดียว เดินทางเพียง 3 ชั่วโมงเราก็จะได้ไปเหยียบ ผืนเกาะแห่งนี้กันสบาย ๆ  เลย…

เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชา ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยว ในบรรยากาศแบบ ท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้ แหล่งชุมชนเกาะสีชังอยู่ทาง ด้านตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง)

และเป็นสถานที่สำหรับเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถสามล้อเครื่องหรือ “สกายแล็ป” (รถที่คล้ายรถตุ๊ก ๆ แต่มีขนาดกว้าง และยาวกว่า) ไปยังจุดอื่น ๆ บนเกาะสีชัง และแม้เกาะสีชังจะไม่มีชายหาดสวยงามลือชื่อ เหมือนกับเกาะแก่งอื่น ๆ ของเมืองไทย แต่ทัศนียภาพก็งดงาม แถมมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่รอให้นักเที่ยวทั้งหลายไปเยือนกันด้วยนะ

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

 จุดท่องเที่ยวบนเกาะสีชังมีมากมาย และที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อก็ได้แก่

          พระจุฑาธุชราชฐาน (ท่าวัง)

          เกาะ สีชังถือเป็นเกาะประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของเมืองไทย เนื่องจากว่าในอดีตมีพระเจ้าแผ่นดินถึง 3 พระองค์ คือรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5 , รัชกาลที่ 6 เสด็จมาประพาสพักผ่อน โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชฐานบนเกาะขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน พร้อมพระราชทานนามว่า “พระจุฑาธุชราชฐาน” ตามพระนามของพระราชโอรสที่ประสูติบนเกาะแห่งนี้

    พระจุฑาธุชราชฐาน อยู่ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง สิ่งที่น่าสนใจในพระราชฐานนี้นอกจาก อาคารพระจุฑาธุชราชฐาน ที่งดงามด้วยด้วยสถาปัตยกรรมไม้สไตล์เรือนขนมปังขิงแล้ว บริเวณรอบข้างก็ยังมี ตึกวัฒนาเป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องเกล็ดเต่า ตึกผ่องศรี เป็นตึกแปดเหลี่ยมชั้นเดียว ตัวตึกทาสีขาวมี 9 ประตู ตึกอภิรมย์ ตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สร้างอย่างเรียบง่ายแต่ลงตัว

นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ได้แก่ สระน้ำ บ่อน้ำ สะพานท่าเทียบเรือ ประภาคาร และที่นี่ยังมีบ่อน้ำจืดที่ถูกค้นพบในสมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง


          ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ และมณฑปรอยพระพุทธบาท

          ตั้ง อยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย จากบริเวณศาลมองเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้ชัดเจนศาลเจ้าพ่อเขา ใหญ่นอกจากจะเป็นที่เคารพสักการะของคนสีชังแล้ว ยังเป็นที่สักการะที่ชาวต่างประเทศให้ความเคารพนับถือกันมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน มีคนมาบวงสรวง กราบไหว้กันอย่างเนืองแน่น ส่วนมณฑปรอยพระพุทธบาทนั้น อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้บนยอดเขา ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลอันสวยงามได้โดยรอบ

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

          ช่องเขาขาด หรือ ช่องอิศริยาภรณ์

          อยู่ ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5 สำหรับท้องทะเลแถบนี้มีหาดหินก้อนกลมเกลี้ยงเป็นที่มา ของชื่อหาด ส่วนบริเวณช่องเขาขาดจะมีทางเดินสีขาว ทอดตัวยาวลงสู่ เบื้องล่างลดระดับไปตามไหล่เขา โดยทางเดินสายนี้ 2 ข้างทางประดับประดาไปด้วย ดวงไฟหงส์ไปจนสุดสาย และบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาตกปลากันเป็นจำนวนมาก

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง


          หาดถ้ำเขาพัง

เป็นชายหาดแห่งเดียวของเกาะ อยู่ทางด้านตะวันตก มีลักษณะเป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ ถ้าอยากเล่นน้ำทะเล หรือ เตรียมตัวมาพักค้างแรม ควรมาพักที่หาดถ้ำพังแห่งนี้ ที่มีโค้ง หาดยาวเหยียดเป็นรูปวงพระจันทร์ หาดทรายขาว และ คลื่นลมแรง ทำให้ได้บรรยากาศของพักผ่อนตากอากาศ ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีร้านอาหารและที่พักให้บริการ บริเวณตอนเหนือของหาดเป็นแหลมชื่อว่า แหลมถ้ำพัง ซึ่งเป็นจุดชมวิวยามพระอาทิตย์ตก สำหรับขาลุยที่ชอบการแค้มปิ้งกางเต็นท์ ก็สามารถลุยได้สบาย ไม่เสียค่าใช้จ่าย เสียเพียงค่าอาบน้ำจืดและเข้าห้องน้ำเพียงเท่านั้น

การเดินทางท่องเที่ยว บางทีก็ไม่จำเป็นว่าต้องไปไกล ๆ เสมอไปใช่ไหมคะลองให้เกาะสีชังเป็นตัวเลือกสำหรับการพักผ่อน ในวันสบาย ๆ ของคุณ ง่าย  ๆ ใกล้ ๆ สะดวกสบาย แล้วคุณจะรู้ว่า เกาะสีชัง…ไม่น่าชังเหมือนชื่อสักนิดเลยค่ะ


การเดินทาง

 

          โดยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นทางสายสุขุมวิท ผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอศรีราชาไปจนพบสี่แยกวังหิน จะพบป้ายไปอำเภอเกาะสีชังทางขวามือ ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนสุรศักดิ์ 2 ตรงไปจนพบหอนาฬิกา แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเจิมจอมพลถึงซอย 14 ซึ่งเป็นซอยแคบ ปากซอยมีป้ายเล็กๆ ชี้เข้าสู่ชุมชนชาวทะเลที่มีชื่อว่า “ท่าเรือจรินทร์” สามารถนำรถเข้าไปจอดได้ยังที่รับฝากรถซึ่งอยู่บริเวณท่าเรือ ค่าบริการสำหรับการจอดรถชั่วคราว 50 บาท และสำหรับการจอดค้างคืน 100 บาท

          โดย รถโดยสารประจำทาง สามารถขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งเอกมัย มีทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศ ไปลงที่ศรีราชา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 – 2 ชม. เมื่อถึงศรีราชาแล้วไปลงเรือที่ท่าเรือ ศรีราชา ซึ่งมีเรือโดยสารให้บริการตลอดทั้งวัน เมื่อถึงศรีราชาแล้ว ต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างค่าบริการประมาณ 15 บาท หรือรถตุ๊ก ๆ ซึ่งคิดค่าบริการประมาณ 30 บาท ไปลงเรือที่ท่าเรือจรินทร์

          จากนั้นต่อเรือเมล์ศรีราชา-สีชัง จากท่าเรือ จรินทร์ใน อ.ศรีราชา ไปยังเกาะสีชัง โดยเรือจะออกจากเกาะสีชังที่ท่าล่าง (ท่าเทววงศ์) ก่อน แล้วจึงไปแวะจอดที่ท่าบน(ท่าภานุรังษี) อัตราค่าโดยสาร คนละ 40 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที เรือออกจากฝั่งศรีราชาเวลา 06.00-20.00 น. ส่วนเรือออกจากเกาะสีชังเวลา 06.00-18.00 น. โดยมีเรือออกทุก ๆ ชั่วโมง

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง

 การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะ

เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร การเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ จะสะดวกมาก ซึ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ ค่าเช่ารถสามล้อเครื่อง คิดเป็นรอบ ๆ ละประมาณ 150 – 250 บาท

 สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง

          เกาะขามใหญ่ อยู่ด้านหน้าเกาะสีชัง ห่างจากเกาะสีชังไปประมาณ 5 นาที เรือโดยสารที่ไปเกาะสีชังจะแวะจอดที่เกาะขามใหญ่ บนเกาะเป็นหมู่บ้านชาวประมง มีบริการที่พักรับรองนักท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ ซึ่งมีกิจกรรมตกปลา หาหอยนางรมและตกปลาหมึก

         เกาะท้ายค้างคาว เป็นเกาะเล็ก ๆ ด้านทิศใต้ของเกาะสีชัง มีหาดทรายและปะการัง สามารถนั่งเรือจากท่าเทววงศ์ไปประมาณครึ่งชั่วโมง ค่าเช่าเรือประมาณ 800 บาท บนเกาะมีที่พักบริการ

          สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเกาะสีชังเพิ่มเติมได้ที่ ททท. ภาคกลางเขต 3 โทร 0-3842-7667, 0-3842-8750

อ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/22375

นรกมล  ไม้รอด  post

 ภูเก็ต 

หรรษาแดนไข่มุกอันดามัน (lisa)

ภูเก็ตนับได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางวันพักผ่อนในฝันของใครหลายๆคน ด้วยเสน่ห์ความงามตระการตาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและทั่วทุกมุมโลก ให้ได้มาสัมผัสประสบการณ์การท่องโลกทะเลสีฟ้าใสตัดกับผืนฟ้าสีครามกันดูสักครั้ง

เรามีโอกาสได้ไปเยือนภูเก็ตซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์แห่งนักท่องเที่ยว ในช่วงที่เหตุการณ์วุ่นวายจากน้ำท่วมในกรุงเทพฯ เริ่มคลี่คลายลง คราวนี้จึงได้เวลาผ่อนคลายกันสักทีโดยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส พาเราบินลัดฟ้าไปยังแดนไข่มุกอันดามัน และมุ่งหน้าสู่หาดกะตะ ที่ตั้งของคลับเมดภูเก็ต ที่ได้มีการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนรีสอร์ทที่ใหญ่ขึ้นและมอบความสะดวกสบาย พร้อมบรรยากาศอันหรูหรา ในสไตล์คอนเทมโพรารี่ไทยที่เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

เยือนหมู่เกาะพีพีในฝัน

แม้สภาพอากาศจะไม่สดใสซะทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการลงเรือสปีดโบ๊ตไปเที่ยวชมความงามของอ่าวพังงา มุ่งหน้าไปยังเกาะพีพีเพื่อลงสำรวจที่หมายแรกคืออ่าวมาหยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะพีพีเล อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนกันมาอย่างหนาตา เพื่อยลความสวยงามของหินผาและหาดทรายสีขาวเนียนละเอียดที่ใครๆก็ต้องเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย และตื่นตาตื่นใจกับน้ำทะเลสีฟ้าสุกใสเมื่อได้ชมวิวในส่วนหมู่เกาะรอบๆ ใกล้กับอ่าวปิเล๊ะ ซึ่งมีเกาะที่เป็นถ้ำนกนางแอ่น แหล่งของรังนกแท้  ไปฝากท้องมื้อกลางวันและเที่ยวชมตำบลอ่าวนางบนเกาะพีพีดอน จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการพักผ่อนอิริยาบถกันแบบสบายๆยามบ่ายที่เกาะไข่นอก เกาะขนาดเล็กในเขตจังหวัดพังงา มีความสวยงามตามธรรมชาติด้วยโขดหิน หาดทรายขาว และน้ำทะเลใสแจ๋ว ลมเย็นๆช่วยให้เอนกายลงบนหาดทรายกันได้อย่างเพลิดเพลินจนเกือบลืมเวลาเลยทีเดียว

พักผ่อนอย่างบันเทิงใจแบบครบถ้วนที่คลับเมด

คลับเมดเป็นรีสอร์ตที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากโรงแรมอื่น เพราะที่นี่จะถูกเรียกว่าเป็น Village หรือหมู่บ้าน มีเหล่า G.Os. ประจำแต่ละส่วนของหมู่บ้าน ซึ่งทำหน้าที่มอบทั้งบริการสุดประทับใจ และสรรหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงให้กับแขกผู้มาเยือนได้ร่วมสนุกกันตลอดวันโดยที่ยังคงคอนเซ็ปรวมทุกอย่างไว้ในราคาเดียว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของคลับเมด และที่นี่เราได้อิ่มใจกับความบันเทิงด้วยโชว์สนุกๆจากเหล่า G.Os. ที่ตั้งใจนำเสนอกันเต็มที่ ซี่งจะมีการจัดแสดงทุกคืนโดยผลัดเปลี่ยนโชว์หมุนเวียนกันไป และสนุกกับบรรยากาศยามค่ำคืนเคล้าเสียงดนตรีและค็อกเทลที่บาร์ซึ่งบริการเครื่องดื่มและค็อกเทลนานาชนิดแบบไม่อั้นหลังมื้ออาหารค่ำที่ได้อิ่มอร่อยกับบุฟเฟต์อาหารนานาชาติสารพัดเมนู

เพื่อประสบการณ์วันหยุดที่สมบูรณ์แบบ คลับเมดได้มีการปรับโฉมในหลายส่วน เริ่มจากล็อบบี้ส่วนต้อนรับที่เน้นบรรยากาศกลิ่นอายความเป็นไทย ส่วนบาร์ที่ผสมผสานการออกแบบอย่างไทยๆเข้าไป ร่วมกับแสงสีที่หลากหลายเพื่อบรรยากาศแห่งความสนุก บนพื้นที่เลานจ์กว้างขวางเหมาะแก่การพบปะสังสรรค์ Club Med Spa by Payot สปาที่เริ่มเปิดบริการแล้ว ด้วยทรีทเมนต์ชั้นนำจากปารีสอย่างปาโยต์ รวมทั้งบริการพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือ Mini Club ที่เหล่าผู้ปกครองสามารถนำบุตรหลานทั้งเด็กทารกและเด็กเล็กไปฝากได้ โดยจะมีทีมคอยดูแลใกล้ชิดและสรรหากิจกรรมสนุกๆให้กับเด็กๆ เช่นนำขยะที่เก็บได้จากริมหาด มาเปลี่ยนเป็นงานประดิษฐ์จากความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ครบครันด้วยกิจกรรมอื่นๆ เช่นผู้เข้าพักสามารถใช้ช่วงเวลากับหาดทรายสีขาวยาวนับกิโลเมตรริมหาดกะตะ กับกลอ์ฟ 9 หลุม และกีฬาชนิดอื่นๆ ตื่นตากับการดำน้ำตื่นชมปะการัง และสามารถเอนจอยกับการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำน้ำลึกอีกด้วย

เชื่อว่าคนรักทะเลที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศทะเลสวยๆ สีฟ้าอมเขียวมรกตอันสดใสที่หาดกะตะนี้แล้ว ย่อมได้รับความประทับใจกลับเป็นของฝากกลับบ้าน และคงต้องหาทางกลับมาเยือนอีกอย่างแน่นอน

อ้างอิง    http://travel.kapook.com/view37805.html

นรกมล ไม้รอด  post

เกาะสมุย

 

  เมื่อนึกถึงทะเล หาดทราย สายลม และแสงแดด คุณจะนึกถึงที่ไหนเป็นอันดับแรก…ติ๊กตอก ๆๆ ฮั่นแน่ เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบของใครหลายคน คงต้องมี “เกาะสมุย” สวรรค์กลางอ่าวไทยรวมอยู่ด้วยเป็นแน่ เพราะแม้ว่าที่แห่งนี้จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ชายหาดที่ทอดยาวขนานไปกับทะเล ต้นมะพร้าวเรียงรายริมชายหาด และน้ำทะเลใสสีสวย โห…ได้บรรยากาศสุดๆ  จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงเรียกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อยู่หมัด!

เกาะสมุย เป็นเกาะที่อยู่กลางอ่าวไทยโดยเป็นอำเภอๆ หนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งปลูกมะพร้าว แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นสถานที่ตากอากาศที่มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงมากมาย โดยเกาะสมุยนั้นมีเนื้อที่ทั้งหมด 247 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่ราบแล้วล้อมรอบด้วยภูเขา ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมเขตร้อน มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูหนาวเริ่มเดือนพฤศจิกายน-มกราคม เป็นช่วงที่มีลมมรสุม และฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งคลื่นลมสงบ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจบนเกาะสมุย

หาดเฉวง เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะสมุย มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร หาดทรายมีลักษณะขาวสะอาดและมีห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวมากมาย อีกหาดที่น่าสนใจก็คือ หาดละไม เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงรองลงมาจากหาดเฉวงโดยจะมีระยะทางสั้นกว่า แต่น้ำทะเลจะใสมากจนมองเห็นปลาว่ายอยู่ในน้ำจึงเหมาะสำหรับการว่ายน้ำ


 หาดตลิ่งงาม เป็นหาดที่อยู่ถัดไปในทางทิศใต้ของท่าเรือเฟอร์รี่ เป็นหาดขึ้นชื่อในการชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดบนเกาะ เนื่องจากด้านหน้าของหาดเป็นที่ตั้งของเกาะสี่เกาะห้า ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก จะสามารถมองเห็นภาพของดวงอาทิตย์ตกลงระหว่างกลางเกาะทั้งสอง และจมหายไปในทะเลเป็นภาพที่สวยงามมาก ในช่วงเย็นหาดแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในช่วงกลางวันยังสามารถเช่าเหมาเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะสี่-เกาะห้า ดำน้ำชมปะการัง หรือจะเลือกพักผ่อนด้วยการตกปลาก็ยังได้
    หาดละไม หาดแห่งนี้เป็นหาดขึ้นชื่อ ด้วยความสวยของโค้งอ่าว ที่มีทิวมะพร้าวปลูกอยู่เป็นแนว ในบางช่วงของหาดระดับน้ำลึก คลื่นแรง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อบนหาดแห่งนี้ ได้แก่ ศูนย์วัฒนธรรมวัดละไมและหินตา หินยาย โขดหินรูปร่างประหลาดบริเวณอ่าวละไม ซึ่งเล่ากันว่ามีตา-ยายชาวปากพนังคู่หนึ่งเดินทางด้วยเรือใบไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อจะไปสู่ขอผู้หญิงให้กับลูกชาย แต่เมื่อเรือแล่นมาถึงแหลมละไมเกิดพายุใหญ่จนเรือล่มทำให้ตาและยายเสียชีวิต แล้วคลื่นก็ซัดขึ้นมาเกยที่หาดจนกลายเป็นหินอย่างในปัจจุบันนี้
          สวนผีเสื้อสมุย ที่มีลักษณะเป็นสวนหินที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ และเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่รวบรวมไว้ซึ่งพันธุ์ไม้ไทย พืชสมุนไพร และไม้ป่านานาชนิดจากทุกภาคของประเทศ โดยจะมีผีเสื้อบินในแต่ละวันนับหมื่นๆ ตัว ส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ น้ำตกหินลาดและน้ำตกหน้าเหมือง, ศูนย์ลิงสมุย, เกาะแตน, ฟาร์มงูพังกา รวมถึงแหล่งดูปะการังต่างๆ เป็นต้น

น้ำตกหน้าเมือง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้ที่ต้องการพักผ่อนและต้องการเปลี่ยน บรรยากาศมาเล่นน้ำจืดบนเกาะ การเดินทางมาเที่ยวชมน้ำตกแห่งนี้นับว่ามีความสะดวก มีถนนเข้าถึงน้ำตก และอยู่ห่างจากท่าเรือหน้าทอนเพียงแค่ 14 กิโลเมตร และเมื่อเดินทางมาถึงน้ำตกก็จะได้พบกับลานกว้าง มีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกให้บริการ หลังจากนั้นก็จะได้พบกับน้ำตกหน้าเมือง 1 ซึ่งจัดว่าเป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก มีความสูงประมาณ 15 เมตร สายน้ำจะไหลลงมารวมกันเป็นแอ่งขนาดใหญ่ เหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ชอบความสมบุกสมบันในการเดินทาง ก็สามารถเดินเท้าเข้าไปชมน้ำตกหน้าเมือง 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่ สวยงาม แต่กระแสน้ำจะค่อนข้างไหลแรง

เจดีย์แหลมสอ

เจดีย์แหลมสอ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อแดง พระภิกษุที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของชาวเกาะสมุย มรณภาพเพราะเรืออับปาง เมื่อ พ.ศ. 2519 องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องสีทองทั้งองค์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อยู่ริมทะเลเขตติดต่อระหว่างตำบลตลิ่งงาม-หน้าเมือง วัดคุณาราม (วัดเขาโป๊ะ) บริเวณกิโลเมตรที่ 13 ใกล้น้ำตกหน้าเมือง มีพระซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแดง หรือ หลวงพ่อแดง ปิยะสีโล (ท่านพระครูสมถกิตติคุณ) มรณภาพไปแล้วแต่ศพไม่เน่าเปื่อย บรรจุในโลงแก้ว ในท่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน

นอกจากสมุยจะมีที่เที่ยวแบบชายหาดดำน้ำดูปะการังแล้ว สมุยยังมีสถานที่น่าเที่ยวอีกหลายแห่ง อาทิ พระพุทธรูปใหญ่ชื่อ “พระพุทธโคดม” ที่มีขนาดหน้าตักกว้าง 5 วา 9 นิ้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐาน,พระธาตุหินงู พระบรมสารีริกธาตุ,พระพุทธบาทเขาเล่, วัดสำเร็จ,เจดีย์แหลมสอ,สำนักสงฆ์หินลาดน้ำเค็ม น้ำตกหินลาด เป็นต้น

การเดินทาง

ทางรถไฟ จะมีรถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงทุกวัน

รถโดยสารประจำทาง จะมีบริการรถโดยสารปรับอากาศและรถโดยสารธรรมดาจากกรุงเทพฯ เดินทางตรงสู่เกาะสมุยโดยไม่รวมค่าโดยสารเรือเฟอร์รี่ ใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง แต่ถ้าใครต้องการความรวดเร็วก็จะมีสายการบินที่เปิดบริการเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-สมุย ทุกวัน จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที

การเดินทางเข้าสู่เกาะสมุย มี 3 เส้นทาง ได้แก่

1.การเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ จากท่าเรือดอนสัก มีวันละ 7 เที่ยว จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที, เรือด่วนออกจากสุราษฎร์ธานีไปยังท่าเรือหน้าทอนบนเกาะสมุย จะมีวันละ 1 เที่ยว ตอนเวลา 8.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

          2.เรือนอน (เรือธรรมดา) จากท่าเรือบ้านดอน จะออกเวลา 23.00 น. ถึงเกาะสมุยเวลา 05.00 น. โดยจะมีเรือออกจากเกาะสมุยเวลา 21.00 น. ถึงสุราษฎร์ธานีเวลา 04.00 น.
เกาะสมุย

 ดังนั้น หากคุณอยากพบกับหาดทรายขาวๆ และน้ำทะเลใสๆ เราขอแนะนำ “เกาะสมุย” สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ที่น่าไปเที่ยวไม่แพ้ที่อื่นๆ ค่ะ 

เกาะสมุย
   อ้างอิง   http://hilight.kapook.com/view/22457
                   http://travel.kapook.com/view14939.html
นรกมล ไม้รอด post

สถานที่เที่ยวภาคใต้ จ.สตูล

Posted: กุมภาพันธ์ 28, 2012 by enjoyya in Uncategorized

อุทยานแห่งชาติทะเลบัน

 


ที่ตั้ง

 ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ติดกับชายแดนประเทศมาเลเซีย

การเดินทาง

จากตัวเมืองสตูลใช้ทางหลวงหมายเลข 406 ระยะทาง 19 กิโลเมตร มีทางแยกขวามือ ใช้ทาง หลวงหมายเลข 4184 อีก 20 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที หรือสามารถ ขึ้นรถสองแถวสตูล-วังประจัน ได้ที่หน้าโรงแรมแหลมทอง


อุทยานแห่งชาติทะเลบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสตูล ได้รับการ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ ปี 2523 เพื่ออนุรักษ์ป่า สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาสลับซับซ้อน มีน้ำตก ถ้ำ และสัตว์ป่าชุกชุม มีหนองน้ำจืดขนาดใหญ่ ขนาบด้วยเทือกเขาจีนและ เขาวังประ รอบบึงมีพันธุ์ไม้ชื่อบากง เป็นจำนวนมาก ในเขตอุทยานฯ ค่อนข้างร่มรื่น และมีพรรณไม้ นานาชนิด ทำให้สัตว์ป่าและนกหลายชนิดมาอาศัยอยู่

ทะเลบันมีที่มาจากคำในภาษามลายูว่า “เลอ โอ๊ด กะบัน” แปลว่า ทะเลยุบ โดยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อ 300 ปี ที่ผ่านมา บึงทะเลบันเป็นพื้นที่ราบธรรมดา เป็นป่า เป็นแหล่งเพาะปลูกของชาวไร่ชาวสวน อยู่มาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณนี้อยู่นานนับเดือน ก่อนที่จะยุบตัวและมีน้ำจากใต้ดินทะลักเข้า มาแทนที่กลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ชาวย้านซึ่งไม่เคยเห็นทะเลจึงเข้าใจว่าบึงใหญ่นี้เป็นทะเล เลย เรียกกันว่าทะเลยุบหรือ เลอ โอ๊ด กะบัน ต่อมาจึงเพี้ยนมาเป็นทะเลบันในปัจจุบัน

สถานที่ท่องเที่ยวในอุทยาน ได้แก่ 
บึงทะเลบัน เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานฯ ในบึง มีปลาน้ำจืดนานาชนิด รอบๆบึงมีต้นบากงขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น

น้ำตกยาโรย ห่างจากที่ทำการฯ 6 กิโลเมตร มีน้ำตกทั้งหมด 9 ชั้น ไหลลดหลั่นลงมาตามภูเขา แต่ละชั้นเป็นแอ่งสามารถลงเล่นน้ำได้ บริเวณใกล้เคียงมีพรรณไม้นานาชนิด

น้ำตกโตนปลิว ห่างจาก น้ำตกยาโรยประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในอุทยานฯ น้ำตกแห่งนี้มีน้ำมากตลอดปี มีต้นน้ำมาจากภูเขาจีน

ถ้ำลอดปูยู ที่เขากาหยง เดินทางโดยการลงเรือที่ท่าเรือที่ท่าเรือตำมะลัง โดยระหว่างทางจะได้ ล่องเรือไปตามลำคลองปูยู ชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนที่อยู่ 2 ฟากฝั่ง โดยสามารถมองเห็น ทิวเขาหินปูนตระหง่านอยู่เป็นระยะ และเมื่อมาถึงถ้ำลอดปูยู ก็จะพบกับภูผาหินปูนกว้างใหญ่กางกั้น ลำคลองอยู่ ด้านล่างเป็นช่องทะลุขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็พอให้เรือหางยาวลอดผ่านได้ เมื่อลอดไปก็พบกับ ภูเขาหินปูนและป่าชายเลนเขียวขจี ซึ่งเหมาะแก่การพายเรือแคนูชมธรรมชาติของ ป่าชายเลนเป็น อย่างยิ่ง

และบริเวณใกล้กับช่องถ้ำลอดยังมีอีกถ้ำหนึ่งซึ่งเป็นถ้ำตัน สามารถนำเรือลอดผ่านเข้าไปได้ ภายใน ถ้ำบนเพดานมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และมีค้างคาวห้อยหัวอยู่มากมาย

ระหว่างทางที่ล่องเรือไปก็ ยังจะได้พบเห็นหมู่บ้านชาวประมงอยู่ตามชายฝั่ง ชมวิถีชีวิตของการ เลี้ยงปลาในกระชัง ที่ลอยอยู่ กลางน้ำ ชมพันธ์ไม้ป่าชายเลน สัตว์ทะเลจำพวก ปู ปลา ตลอดจนนก ต่างๆ เช่น นกกระเต็น เหยี่ยวแดง เป็นต้น

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองปลักพะยา เป็นสถานที่ศึกษาธรรมชาติที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของ จ.สตูล เป็นบึงหนองน้ำขนาดใหญ่ที่เบื้องหลังเป็นเทือกเขา ในบึงมีนกน้ำหลายชนิดให้ได้พบเห็น เช่น นกอีโก้ง

สำหรับบนยอดเขาจะมีฝูงค้างคาวแม่ไก่ป่าฝนอาศัยเป็นฝูงใหญ่ ค้างคาวชนิดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยนมที่บินได้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นค้างคาวชนิดทีใหญ่ที่สุดในโลก และนอก จากค้างคาวแม่ไก่ป่าฝนแล้ว สัตว์ป่าประเภทเลียงผา ชะนี และค่างแว่นถิ่นใต้อีกด้วย

เขตแดนไทย-มาเลเซีย ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติทะเลบันประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหล่ง จำหน่ายสินค้าต่างประเทศราคาถูก ประเภท ขนม ผลไม้ ด่านนี้เปิดตั้งแต่ 06.00-19.00 น. และจะมี ตลาดนัดช่วงเช้า ทุกวันอาทิตย์ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ (ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิด) และยังสามารถ เดินทางไปยังปาดังเบซาร์ เขตแดนไทยมาเลเซีย ด้าน จ.สงขลา ด้วยระยะทางเพียง 25 กิโลเมตร

ในเขตอุทยานฯ ทะเลบันมีบ้านพักและสถานที่ตั้งเต็นท์ไว้บริการ และมีบริการร้านอาหาร ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่อุทยานฯ โทร.(074)797073 , 01-2300561 หรือจะติดต่อสอบถามจาก สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพฯ โทร.(02)5495734 , 5797223

อ้างอิง http://www.gosouththai.com/travel/detailtrav.asp?key=464

            http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=186

นรกมล ไม้รอด post

อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล

• อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ห่างจากตัวเมืองสตูลประมาณ ๔๐ กิโลเมตร และห่างจากฝั่งที่ท่าเรือปากบารา ๒๒ กิโลเมตร มีอาณาเขตทิศเหนือจดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ทิศใต้จดทะเลที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างประเทศไทยและสหพันธรัฐมาเลเซีย มีพื้นที่ทั้งเกาะและทะเลรวมกันประมาณ ๑,๔๙๐ ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยหมู่เกาะใหญ่น้อย จำนวน ๕๑ เกาะ มีเกาะขนาดใหญ่ ๗ เกาะ ได้แก่ เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ เกาะกลาง เกาะบาตวง และเกาะบิสสี แบ่งออกเป็น ๒ หมู่เกาะใหญ่ คือ หมู่เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๑๗ และ ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายน

ลักษณะภูมิประเทศ
• อุทยานแห่งชาติตะรุเตามีสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขามีความลาดชันสูง ชายฝั่งทางด้านตะวันออก ส่วนมากจะเป็นหน้าผาสูงชันสลับกับอ่าวและหาดทรายโคลน ทางด้านตะวันตกจะมีหน้าผาเฉพาะทางด้านเหนือบริเวณแหลมตันหยงมะระ(ด้านหัวเกาะ) มีที่ราบอยู่เป็นหย่อมๆ ทางเทือกเขาหลังอ่าว อ่าวที่สำคัญได้แก่ อ่าวพันเตมะละกา อ่าวสน อ่าวมะขาม อ่าวตะโละอุดัง และอ่าวตะโละวาว เป็นต้น อ่าวต่างๆ เหล่านี้มีคลองและลำธารไหลผ่านออกสู่ทะเล มีที่ราบเล็กน้อย เกาะอาดัง-ราวี อยู่ห่างจากเกาะตะรุเตาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 40 กิโลเมตร สภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงครอบคลุมเนื้อที่เกือบทั้งหมดของเกาะ มีที่ราบเฉพาะบริเวณเหนือชายหาดต่างๆ


ลักษณะภูมิอากาศ
• ข้อมูลภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติตะรุเตาในรอบปีที่ผ่านมา (มกราคม 2543-พฤศจิกายน 2543) พบว่า ฝนตกมากที่สุดในเดือน เมษายน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 11.66 มิลลิเมตร รองลงมาเดือน มิถุนายน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 10.59 มิลลิเมตร และตกน้อยที่สุดในเดือน มกราคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 0.01 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 34.5 องศาเซลเซียสในเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 10.5 ในเดือนกันยายน

แหล่งท่องเที่ยว
• ถ้ำจระเข้ อยู่ปลายคลองพันเตมะละกา ใช้เรือพาดหางไปจอดท่าเทียบเรือหน้าถ้ำ ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อไปตามสะพานไม้ที่ทอดผ่านป่าชายเลนจนถึงถ้ำจระเข้ เพื่อเข้าไปชมความงามของหินงอกหินย้อย และเสาหิน
• น้ำตกโละโป๊ะ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก สวยงาม เหมาะแก่การเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ อยู่ในบริเวณอ่าวสน ซึ่งห่างจากของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.4 (อ่าวสน) 5 กิโลเมตรโดยประมาณ ห่างจากที่ทำการ 13 กิโลเมตร
• น้ำตกลูดู เป็นน้ำตกขนาดเล็ก สวยงาม เหมาะแก่การเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ อยู่ในบริเวณอ่าวสน ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.4 (อ่าวสน) 3 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 11 กิโลเมตร
• ผาชะโด ตั้งอยู่ในเกาะอาดัง อดีตเป็นจุดสังเกตการณ์ของกลุ่มโจรสลัดเพื่อเข้าโจมตีเรือสินค้า ชมทิวทัศน์สวยงามของท้องทะเล จะเห็นทิวสนและหาดทรายสีขาวของ เกาะอาดัง ทั้งยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ ความงามของเกาะหลีแป๊ะ ใช้ระยะเวลาในการเดินประมาณ 30 นาที อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 40 กิโลเมตร
• ผาโต๊ะบู สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 60 เมตร อยู่ด้านหลังอาคารที่ทำการ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 20 นาที เป็นจุดชมวิวที่มีทัศวิสัยกว้างไกล มีศาลา สำหรับพักผ่อน
• เกาะจาบัง อยู่ระหว่างเกาะอาดังและเกาะราวี รอบๆเกาะถูกปกคลุมไปด้วยปะการังอ่อนสีชมพู สีม่วง สีแดง ไล่น้ำหนักอ่อนแก่อย่างสวยงาม มีฟองน้ำครก แส้ทะเล ดอกไม้ทะเล ดาวขนนก รวมทั้งปลาสวยงามในแนวปะการังที่ตื่นตา ซึ่งเหมาะสำหรับการดำน้ำลึกและการดำน้ำตื้น
• เกาะดง เป็นเกาะสุดท้ายในทะเลลึก ความโดดเด่นของเกาะนี้คือ มีหินซ้อนตั้งเรียงกันอยู่อย่างงดงาม แปลกตา และยังมีจุดดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามใต้ท้องทะเลรอบเกาะ ได้อีกด้วย 

• เกาะไข่ เกาะเล็กๆที่มีหาดทรายขาวละเอียด งดงาม ห่างจากเกาะตะรุเตา 25 กิโลเมตร อยู่ระหว่างเกาะตะรุเตาและเกาะอาดัง เกาะไข่มีสิ่งที่โดดเด่นอันถือเป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล นั่นคือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติ ที่ทอดโค้งจากผืนทรายจรดน้ำ นอกจากนี้เกาะไข่ยังเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลอีกด้วย 

• เกาะยาง อยู่ถัดจากเกาะหินงามขึ้นมาทางเหนือ บริเวณรอบๆ เกาะถูกปกคลุมไปด้วยปะการังแข็ง เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด ปะการังรูปโต๊ะ ฯลฯ จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำตื้น หาดทรายสวยงาม น้ำใส มีปลาสวยงามในแนวปะการัง 
• เกาะราวี มีหาดทรายขาว น้ำใส เงียบสงบ เหมาะแก่การกางเต็นท์พักผ่อน เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 6 (หาดทรายขาว) และหน่วยพิทักษ์ อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 7 (ตะโละปะเหลียน) 
• เกาะหลีเป๊ะ อยู่ห่างจากอาดังไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเล มีที่พักของเอกชน ร้านค้าและร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ห่างจากที่ทำการ 47 กิโลเมตร 
• เกาะหินงาม เป็นเกาะเล็กๆ ที่เป็นหาดหิน เต็มไปด้วยก้อนหินสีดำ กลมเกลี้ยง เนื่องจากถูกขัดสีด้วยแรงคลื่น งามสดสวย เมื่อถูกน้ำประกายวาววับ หินทุกก้อนที่หาดแห่งนี้มีคำสาปเจ้าพ่อตะรุเตา ห้ามนำ เคลื่อนย้ายออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ 
• เกาะอาดัง ในอดีตเป็นที่ซ่องสุมโจรสลัด ปล้นสะดมเรือ มีหาดทรายขาวละเอียด สวยงาม และมีแนวปะการังอยู่รอบๆเกาะ เหมาะสำหรับดำน้ำตื้น เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 5 (แหลมสน) อยู่ห่างจากที่ทำการ 40 กิโลเมตร 
• อ่าวจาก เป็นอ่าวเล็กๆ ติดต่อกับอ่าวพันเตมะละกา หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับเดินเล่น พักผ่อน 
• อ่าวตะโละวาว อยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะตะรุเตา เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์สถานที่ตั้งนิคมฝึกอาชีพหรือ ทัณฑสถาน นักโทษเด็ดขาด นักโทษกักกัน ระหว่าง พ.ศ. 2480 –2490 คงพบเห็นแต่มูลดิน ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง และสุสาน 700 ศพ เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.1(ตะโละวาว) อยู่ห่างจากที่ทำการ 12 กิโลเมตร 
• อ่าวตะโละอุดัง อยู่ด้านทิศใต้ของเกาะตะรุเตา ห่างจากเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 8 กิโลเมตร อดีตเป็นที่กักขังนักโทษการเมือง กบฏบวรเดชและ กบฏนายสิบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต. 2(อ่าวตะโละอุดัง) อยู่ห่างจากที่ทำการ 23 กิโลเมตร 
• อ่าวพันเตมะละกา เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา หาดทรายขาวสะอาด เหมาะแก่การเดินชายหาด เล่นน้ำทะเลและพักผ่อน ค้างแรม กางเต็นท์ 
• อ่าวเมาะและ มีหาดทรายขาวสะอาดและดงมะพร้าวสวยงาม 
• อ่าวฤาษี เป็นอ่าวเล็กๆ มีถ้ำไว้หลบฝน ปะการังแข็งเหมาะแก่การดำน้ำตื้น 
• อ่าวมะขาม เป็นที่จอดพักเรือประมงขนาดเล็ก มีน้ำจืดสนิท ป่าไม้สมบูรณ์ มีสัตว์ป่า และนกชุม เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.3 (อ่าวมะขาม) 
• อ่าวสน ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 8 กิโลเมตร หาดทรายยาวประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่วางไข่ของเต่าทะเล มีหาดหิน น้ำตกและธารน้ำใส เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ตะรุเตาที่ ตต. 4 (อ่าวสน) มีจุดกางเต็นท์ บริการอาหาร ห้องน้ำ-ห้องสุขา

อ้างอิงhttp://www.oceansmile.com/S/Satun/ForestSeaTarutao.htm

นรกมล ไม้รอด post

พระธาตุหนองคาย หรือ พระธาตุกลางน้ำ

เดิมชื่อพระธาตุหล้าหนอง เป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง ห่างจากชายฝั่งปัจจุบันประมาณ 180 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ (พระพนม) จากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7 พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐาน และมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวนมากที่สุด หนังสือประชุมพงศาวดารภาค 70 บันทึกไว้ว่า “พระธาตุเมืองหนองคายได้เพ (พัง) เมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีพุทธศักราช 2390” และตลิ่งได้ถูกน้ำเซาะจนมองเห็นพระธาตุอยู่เกือบกึ่งกลางลำน้ำโขงในปัจจุบัน


พระธาตุหล้าหนองยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคาย ชาวบ้านได้จัดงานประเพณีเกี่ยวกับพระธาตุทุกปี นอกจากนี้ทางจังหวัดหนองคายได้ก่อสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองสูง 15 เมตรขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงอยู่ภายใน

พระธาตุหล้าหนองกลางน้ำโขง ประวัติ เป็นพระเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานที่วัดพระธาตุ อ.เมืองหนองคาย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 โดยมีพระอรหันต์แห่งเมืองหนองคาย ๕ องค์ เดินทางไปขอพระบรมสารีริกธาตุกับพระมหากัสสปเถระ ที่กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย แล้วอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ในพระอุโมงค์พระธาตุหล้าหนอง ลุถึงปี พ.ศ.๒๑๐๙ พระไชยเชษฐาธิราช ได้สร้างพระมหาเจดีย์

 พระธาตุหนองคายหรือพระธาตุกลางน้ำ พระธาตุหล้าหนองยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคาย ชาวบ้านได้จัดงานประเพณีเกี่ยวกับพระธาตุทุกปี คือบุญบั้งไฟเดือนหก และงานประเพณีบุญแข่งเรือออกพรรษา มีเรือบริการชมพระธาตุหล้าหนองใกล้ๆ หรือไปสักการะพระธาตุ คนละ 20 บาท

พระธาตุหล้าหนององค์จำลอง ทางจังหวัดหนองคายได้ก่อสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองสูง 15 เมตรขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงอยู่ภายใน

                                               อ้างอิง

http://touronthai.com/gallery/placeview.php?place_id=58000021

                                    คุณกร    พรภักดี   Post

ศาลเจ้าปู่ – ย่า

ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าปู่ – ย่า ยังไม่สามารถหาหลักฐานในระยะก่อตั้งเริ่มแรกที่เป็นข้อมูลสรุปอย่างชัดเจนได้ เพียงแต่อาศัยการบอกเล่าของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนรุ่นเก่าที่เล่าสืบมาว่า ประมาณปี พ.ศ. 2488 กลุ่มพ่อค้าชาวจีนในจังหวัดอุดรธานีได้อัญเชิญผงธูปที่เรียกกันว่า “ผงมงคล ” หรือ “ผงอิทธิเจ ” แห่งองค์เทพเจ้าปู่ จากใต้ร่มไม้ใหญ่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี อันได้แก่เส้นทางที่มุ่งไปสู่อำเภอหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภู) ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยขุนเขา หนองน้ำ และต้นไม้ใหญ่นานาชนิด เป็นลักษณะพื้นที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ตามตำราโหราศาสตร์จีน จึงได้อัญเชิญมาประทับที่ศาลไม้เล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งหนองบัว ตำบลหนองบัว จังหวัดอุดรธานี ใกล้สถานีรถไฟ ปัจจุบันคือบริเวณศาลเจ้าปู่–ย่า ที่มีความร่มรื่นอันเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข บนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ เบื้องหน้าศาลไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ เป็นสัญลักษณ์ความเจริญรุ่งเรือง ของชีวิตชาวเมืองอุดรธานี ต่อมาหลังจากที่ได้มีการบูรณะสร้างศาลขึ้นมาใหม่ได้มีพ่อค้าชาวจีนที่ศรัทธาถวายรูปปั้นองค์เจ้าปู–เจ้าย่า ให้ ถือได้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเพียงแห่งเดียว ที่มีทั้งเจ้าปู่–เจ้าย่า สถิตอยู่ด้วยกัน ภายหลังได้มีการบูรณะรูปปั้นองค์เจ้าปู่–เจ้าย่า ให้มีความสวยงามยิ่งขึ้นเป็นที่ชื่นชมศรัทธาแก่ผู้ที่ได้มาเคารพสักการะองค์เจ้าปู่–เจ้าย่า ในปี พ.ศ. 2489-2493


ด้วยบารมีขององค์เจ้าปู่–เจ้าย่า และพลังศรัทธาที่หล่อหลอมจนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กลุ่มพ่อค้า และชาวอุดรธานีเชื้อสายจีนจึงได้เริ่มก่อตั้งคณะกรรมการศาลเจ้าปู่–ย่า ขึ้นเพื่อเข้ามาดำเนินงานกิจกรรมของศาลเจ้า และยังได้มีการพัฒนาปรับปรุงบริเวณศาลเจ้าปู่–ย่า ให้มีความสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันสภาพพื้นที่ในบริเวณศาลเจ้าปู่ – ย่า ก็ได้รับการบูรณะปรับปรุงจากคณะกรรมการทุกรุ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา ทำให้ศาลเจ้าปู่–ย่า มีทัศนียภาพที่สวยงาม ประกอบด้วยตำหนักที่ประทับ ขององค์เจ้าปู่–เจ้าย่า สะพานเก้าเลี้ยวที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามสถาปัตยกรรมจีน เสามังกรฟ้า (ทีกงเต็ง) ที่มีความงดงามวิจิตรบรรจง โหลยตึ้ง (ศาลอเนกประสงค์) ที่โอ่โถง ตลอดจนบัวในหนองบัว ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีซึ่งเกิดจากพลังศร้ทธาของผู้ที่เคารพเลื่อมใสที่มีต่อองค์เจ้าปู่–เจ้าย่า ที่ได้ร่วมบริจาคสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการทุกๆ รุ่นเสมอมา


นอกจากนั้น ยังมีศาลาที่ประทับที่ทุ่งศรีเมือง ซึ่งใช้เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าปู่–เจ้าย่า ที่อัญเชิญมาประทับชั่วคราว ในช่วงที่มีงานงิ้วประจำปี และในวันอากงแซ (วันประสูติองค์เจ้าปู่) ถึงแม้ว่าศาลเจ้าปู่–ย่า อุดรธานี จะเป็นศาสนสถานที่สร้างโดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนก็ตาม แต่บารมีขององค์เจ้าปู่–เจ้าย่า ได้แผ่ไพศาลไปยังชาวเมืองอุดรธานีทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้น และกว้างไกลไปทั่วประเทศ 

              เคล็ดลับการกราบไหว้ขอพร นอกจากการกราบไหว้ด้วยธูป 30 ดอกแล้ว การกราบไหว้ศาลเจ้าปู่-ย่า ต้องถวายส้ม 4 ลูก พอกราบไหว้ครบทั้ง 6 จุดแล้ว ให้เดินไปที่สะพานเก้าเลี้ยว เชื่อกันว่าเป็นจุดเชื่อมต่อสวรรค์ และรับรู้ว่าขอพรอะไรไป เสร็จแล้วให้มากราบลาศาลปู่-ย่า พร้อมเอาส้มกลับมา 2 ลูก 

               ความศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าแห่งความเมตตาได้รับการกล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์  ความเมตตาแก่ผู้ยากไร้  ผู้มีทุกข์โศกมักจะไปจุดธูปขอให้ความทุกข์ที่มีอยู่สลายไป หรือไปบนบานศาลกล่าวขอให้การค้าเจริญรุ่งเรือง  และมักจะได้รับบารมีจากเจ้าปู่-ย่า  ดลบันดาลให้สมหวังในสิ่งที่ขอ

ที่ตั้ง ศาลเจ้าปู่-ย่า อุดรธานี ตั้งอยู่บนถนนนิตโย  ทางไปจังหวัดสกลนคร หลังสถานีรถไฟใกล้ตลาดหนองบัว  เมื่อข้ามทางรถไฟแล้ว เลี้ยวซ้ายประมาณ  100  เมตร ศาลตั้งอยู่ริมหนองบัวซึ่งมีสวนสาธารณะสวยงามโดยรอบ บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การท่องเที่ยวและเดินเล่น พักผ่อน ออกกำลังกาย บริเวณโดยรอบมีศาลาชมวิวกลางน้ำ  2  หลัง  สร้างอย่างวิจิตรสวยงาม ในศาลเจ้าปู่-ย่าแห่งนี้ ยังมีมังกรทองยาวถึง 99 เมตร ซึ่งใช้แสดงในงานทุ่งศรีเมืองในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

 

อ้างอิง

http://www.udoninfo.com/index.php/2010-03-26-08-18-28/2010-03-26-09-32-47

คุณกร   พรภักดี   Post

 

น้ำตกห้วยหลวง
               มีตำนานเล่าขานกันต่อๆ มาว่า “นายเตว” กับพวก 2 – 3 คนได้เข้ามาตีผึ้งที่ผาน้ำตกแห่งนี้ โดยออกอุบายนำเถาวัลย์มาพันเป็นเชือกหย่อนลงไปเบื้องล่างของน้ำตก นายเตวอาสาโรยตัวลงไปเพื่อตีผึ้ง ซึ่งมีรังผึ้งเกาะติดอยู่กับหน้าผาหลายร้อยรัง โดยมิได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ในระหว่างที่นายเตวกำลังตีผึ้งอยู่นั้นได้เกิดอาเพศขึ้น เพื่อนที่อยู่ด้านบนมองเห็นเถาวัลย์เป็นงูขนาดยักษ์เลื้อยพันขึ้นมา ด้วยความตกใจกลัวจึงใช้มีดตัดฟันลงไปตรงเถาวัลย์ขาดสะบั้นทำให้ร่างของนายเตวที่ห้อยโหนอยู่นั้นร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างของน้ำตกเสียชีวิต ยังผลให้น้ำตกแห่งนี้ได้ชื่อเรียกในเวลาต่อมาว่า “น้ำตกบักเตว”               ต่อมาได้มีการประกาศจัดตั้ง “อุทยานแห่งชาติภูจอง–นายอย” ขึ้นในปี 2530 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวน้ำตก และมักจะเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการลงเล่นบริเวณน้ำตกแห่งนี้ จนกระทั่งมีญาติของผู้เสียชีวิตมาเล่าว่า ผู้เสียชีวิตได้มาเข้าฝันแล้วบอกว่า นายเตวไม่ต้องการให้ใครมาเรียกชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า “น้ำตกบักเตว” เนื่องจากเป็นคำไม่สุภาพและได้ให้เปลี่ยนชื่อน้ำตกแห่งนี้เสียใหม่ ในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2535 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อ “น้ำตกบักเตว” เป็น “น้ำตกห้วยหลวง” ตามชื่อของลำห้วยซึ่งไหลพาดผ่านน้ำตกแห่งนี้น้ำตกห้วยหลวง (น้ำตกบักเตว) ตั้งอยู่กลางป่าสมบูรณ์ไหลตกจากหน้าผาสูง 45 เมตร ถือได้ว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด และงดงามที่สุดของภาคอีสานตอนล่าง  ไหลตกจากหน้าผาสูงชัน ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ และลานหินหาดทราย ด้านล่างมีบันไดทางลงจากศาลาชมทิวทัศน์สู่น้ำตกด้านล่าง นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกทลายแห่ง เช่น น้ำตกเกิ้งแม่ฟอง น้ำตกถ้ำบอน น้ำตกจุ๋มจิ๋ม น้ำตกห้วยทรายใหญ่ (แก่งอีเขียว) เป็นต้น

เฉพาะเดือนกันยายน วันที่น้ำหลากมากๆ ห่างจากน้ำตกห้วยหลวงประมาณ 7 กม. บริเวณสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าอุบลราชธานี มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจ คือ กุ้งเดินขบวน สามารถชมได้ตั้งแต่ตอนเย็นจนค่ำครับ

การเดินทางไปน้ำตกห้วยหลวง อุทยานแห่งชาติภูจองนา-ยอย เริ่มต้นจาก อ.เมืองอุบลราชธานี ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมูล ไปทางฝั่ง อ.วารินชำราบ ใช้ทางหลวงหมายเลข 24 (วารินฯ – เดชอุดม) ผ่านมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  ผ่าน อ.เดชอุดม ใช้ทางหลวงหมายเลข 2191, 2171 และหมายเลข 2248 ตามลำดับ รวมระยะทางประมาณ 132 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

อ้างอิง

http://guideubon.com/news/view.php?t=37&s_id=24&d_id=24

คุณกร  พรภักดี Post

อุทยานแห่งชาติเขาสก เขื่อนรัชชประภา

เขื่อนรัชชประภา

อุทยานแห่งชาติเขาสก

             เขาสก ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2523 มีชื่อว่า อุทยานแห่งชาติเขาสก มีพื้นที่ 645.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 403,450 ไร่ สภาพโดยทั่วไปเป็นภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน มีแนวหน้าผามากมายซึ่งเป็นลักษณะเด่นของภูเขาทางแถบนี้ซึ่งคล้ายกับเทือกเขาที่จังหวัดกระบี่  อุทยานแห่งชาติเขาสก มีพื้นที่กว้างขวางมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่ เขื่อนรัชชประภา ถ้ำน้ำทะลุ ถ้ำปะการัง ถ้ำใหญ่ น้ำตกแม่ยาย น้ำตกโตนกลอย ตั้งน้ำ และอีกหลายน้ำตก กรุณาคลิกอ่านรายละเอียดใน จุดที่น่าสนใจ ลิ้งด้านล่าง

เขาสก

             เขื่อนรัชชประภา หรือที่เรียกกันติดปากว่า กุ้ยหลินเมืองไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาสก ทัศนียภาพโดยทั่วไปภายในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนรัชชประภา มีทัศนียภาพที่สวยงามมาก  นักท่องเที่ยวทุกคณะที่ไปเห็นล้วนประทับใจ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาหินปูนที่สูงชันล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำที่กว้างใหญ่  ด้วยความลึกของระดับน้ำ กรอปกับสีของตะไคร้น้ำที่อยู่เบื้องล่างทำให้น้ำในเขื่อนมีสีเข้มเหมือนสีมรกต จนนักท่องเที่ยวหลายท่านคิดว่าเป็นน้ำทะเล  ลักษณะภูมิประเทศไปคล้ายกับภูมิประเทศที่เมืองกุ้ยหลินประเทศจีน จึงได้ฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองไทย นอกจากเขื่อนรัชชประภาจะมีทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว พื้นที่รายรอบเขื่อนยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก เช่น ถ้ำน้ำทะลุ เป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านและต้องเดินป่าเข้าไปชม เส้นทางเดินบรรยากาศร่มรื่นระยะทางเดินไม่ไกล เส้นทางไม่ลำบากมาก ถ้ำปะการังก็น่าสนใจและเข้าถึงได้สะดวกไม่ต้องเดินไกลเหมือนถ้ำน้ำทะลุ จุดชมวิวเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ อยู่บนเขาสูงซึ่งจะต้องเดินป่าไต่ความสูงขึ้นไป จากจุดชมวิว เมื่อมองลงมาจะเห็นเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่รายรอบอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำ

เขาสก

สถานที่ตั้ง

                  อุทยานแห่งชาติเขาสก  อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฏร์ธานี อาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บริเวณเทือกเขาสูง ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีไปจนถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401  อุทยานแห่งชาติเขาสกแบ่งเป็น 2 พื้นที่ใหญ่ๆ คือ  เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชชประภา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ กม 57-58 ตามเส้นทางหลวงสาย 401  ห่างออกไปอีก 51 กม.คือบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก ซึ่งตั้งอยู่ที่ กม. 109 บนถนนเส้นเดียวกัน  แต่เดิมนั้นอุทยานแห่งชาติเขาสกมีเฉพาะพื้นที่ที่เป็นป่าเขา อยู่มาภายหลังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้สร้างเขื่อนเชี่ยวหลายขึ้นมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจึงทำให้พื้นที่ป่าบางส่วนกลายเป็นเขื่อนเก็บน้ำ และยังอยู่ในการดูแลพื้นที่โดยอุทยานแห่งชาติเขาสก

เขาสก

                 แหล่งท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติเขาสกแบ่งลักษณะการท่องเที่ยวตามลักษณะพื้นที่ได้ 2 ประเภท คือการท่องเที่ยวทางบก หรือการเดินป่า และ การท่องเที่ยวทางน้ำ หรือการล่องเรือชมวิวเหนือเขื่อน นอนแพ พื้นที่การท่องเที่ยวทั้งสองแบบนี้อยู่ห่างกันประมาณ 51 กิโลเมตร ตามถนนหลวง หรือ 65 กิโลเมตรจากเขื่อน

การท่องเที่ยวทางบกหรือการเดินป่า

                 กิจกรรมหลักอยู่บริเวณพื้นที่รอบๆ ที่ตั้งอุทยานแห่งชาติเขาสก หรือที่ กม 109 แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ น้ำตกต่างๆ ที่เกิดจากลำน้ำในคลองศกที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ เกิดเป็นน้ำตกหลายแห่งให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมด้วยการเดินเท้าเข้าไป หรือที่เรียกกันว่า เดินป่าเขาสก  นอกจากเดินป่าเขาสกเพื่อชมน้ำตกแล้ว จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ  ดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ สำหรับที่เขาสกนี้พบว่ามีดอกบัวผุดอยู่หลายจุดและมีดอกผลัดเปลี่ยนกันบานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นฤดูจนถึงปลายฤดู เนื่องจากหาชมได้กว่ากว่าพื้นที่อื่นๆ จึงทำให้เขาสกมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของกิจกรรมท่องเที่ยวเดินป่าชมบัวผุดจนมีนักท่องเที่ยวไปชมกันมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

ดอกบัวผุด

 ดอกบัวผุด

การท่องเที่ยวทางน้ำ 

                  คือการท่องเที่ยวในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนรัชชประภา ที่กล่าวว่าท่องเที่ยวทางน้ำเพราะว่าเราต้องนั่งเรือไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เหนือเขื่อน กิจกรรมการท่องเที่ยวในเขื่อนได้แก่ นั่งเรือชมวิวเกาะแก่งหิน หรือกุ้ยหลินเมืองไทย นั่งเรือไปนอนแพสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่รายรอบไปด้วยผืนน้ำและภูเขา พายเรือแคนู เล่นน้ำ ตกปลา นั่งเรือไปเที่ยวถ้ำปะการัง นั่งเรือไปปากทางถ้ำน้ำทะลุแล้วเดินเท้าไปยังถ้ำ นั่งซุ่มดูนกเงือกที่มีมากมายในป่าแห่งนี้ ผมเองยังเคยพบนกเงือกบ่อยๆ ในระหว่างพานักท่องเที่ยวเดินป่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยพบฝูงเดียวถึง 12 ตัว ถึงแม้การเที่ยวเขื่อนจะเป็นการเที่ยวแบบนั่งเรือเที่ยวแต่ก็มีกิจกรรมการเดินป่าด้วยคือการเดินป่าไปเที่ยวถ้ำน้ำทะลุ เป็นเส้นทางเดินป่าที่น่าสนใจ เส้นทางเดินร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ตลอดเส้นทางเดินต้องเดินผ่านลำธารตื้นๆ หลายจุด น้ำใส ปลาในลำธารก็เยอะ บริเวณชื้นแฉะริมลำธารก็มักจะมีผีเสื้อลงมากินโป่งให้เห็นอยู่ทุกครั้งที่ไป

เขาสก

การเดินทาง

1.เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว

การเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาสก ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 แยกเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสกตรงหลัก กท ที่ 109 เข้าสู่ถนนลาดยาง ระยะทางถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 2 กม.

กรณีไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสกในส่วนของเขื่อนเชี่ยวหลาน ให้ใช้เส้นทางเดียวกัน แล้วแยกเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาสก หน่วยพิทักษ์ ขส.2 แก่งเชี่ยวหลาน บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57-58 เข้าสู่ถนนลาดยางไปประมาณ 12 กม. ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์ฯ ขส.2 ( แก่งเชี่ยวหลาน )  จาก ขส.2 ต้องจ้างเรือให้ไปส่งยังหน่วยย่อย ขส. 3 ขส. 4 และ ขส. 7 แล้วแต่ว่าท่านจะพักแพไหน

2.การเดินทางโดยรถไฟ 

นั่งรถไฟไปลงที่สถานีพุนพิน แล้วติดต่อเช่ารถไปยังอุทยานแห่งชาติเขาสก ห่างจกสถานนีรถไฟประมาณ  110 กิโลเมตร  สำหรับเขื่อนรัชชประภาอยู่ห่างไปประมาณ 60 กิโลเมตร   หรือจากสถานนีรถไฟ นั่งรถโดยสารเส้นทางพุนพิน-ตะกั่วป่า หรือสุราษฎร์ – ภูเก็ต

3.เดินทางโดยรถโดยสาร  

ให้นั่งรถจากขนส่งสายใต้ เส้นทางภูเก็ตสายเก่า ผ่านอุทยานแห่งชาติเขาสก 

หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม   โทรสอบถามได้ที่เบอร์  1672   สายด่วนท่องเที่ยว

 

ที่มา : http://www.paiduaykan.com/travel/khaosok/

http://www.tourdoi.com/doi/khaosok/howtogo.htm

post by :  นาย ธุวานนท์   ธนะศรีสืบวงศ์